เตือนภัย! 12 วิธีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้โอนเงิน พร้อมวิธีรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือใคร

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ ขบวนการหรือกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงเหยื่อผ่านทางโทรศัพท์ โดยมักแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคาร บริษัทขนส่ง หน่วยงานรัฐ หรือแม้กระทั่งองค์กรการกุศล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อหลอกลวงหรือข่มขู่ให้เหยื่อเกิดความกลัวและกังวล จนตัดสินใจผิดพลาดโอนเงินไปให้กับผู้ร้าย จนบางรายแทบสิ้นเนื้อประดาตัว

กลุ่มเป้าหมายของ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์”

แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะกำหนดกลุ่มเป้าหมายก่อนจะทำการโทร ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังต่อไปนี้

  1. คนตกงาน มองหางาน อยากมีฐานะทางการเงินที่ดี
  2. คนมีฐานะ มีเงินเก็บ อยู่กับบ้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยติดตามข่าวสาร โดยเหยื่อไม่จำกัดเพศ วัย การศึกษา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการปรับกลวิธี กลยุทธ์ ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ทุกคนสามารถถูกหลอกได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน AIS จึงขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่ขอมาเตือนภัย โดยการรวบรวมข้อมูล 12 กลโกงที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการหลอกลวง เพื่อให้คนไทยระแวดระวังตัวกันมากขึ้นและไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งโจรเหล่านี้อีก

12 วิธี หรือ กลโกงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกให้โอนเงิน

12 วิธี หรือ กลโกงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกให้โอนเงิน

  • อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร: มิจฉาชีพมักอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารและตรวจสอบพบความปกติบนบัญชีของคุณ เช่น บัญชีเงินฝากคุณถูกอายัด มีหนี้บัตรเครดิตค้างชำระให้รีบไปที่ตู้ ATM ทำตามขั้นตอนที่บอกจะแก้ปัญหาได้แต่แท้จริงแล้วเป็นการหลอกลวงเพื่อโอนเงินไปยังบัญชีของโจร หรือแจ้งว่าข้อมูลของคุณหายไปจากธนาคาร รบกวนขอข้อมูลส่วนตัวอีกครั้ง เพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไปใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน
  • อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งและโอนสายให้ตำรวจ: เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนนิยมใช้การสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์จึงมีการใช้บริการขนส่งเป็นจำนวนมาก มิจฉาชีพจึงอาศัยช่องโหว่ตรงนี้ในการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่ง แล้วหลอกว่ามีพัสดุตกค้าง หรือตรวจพบพัสดุที่มีของผิดกฎหมายหรือเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินที่อยู่ภายใต้ชื่อของคุณ และจะทำการโอนสายไปให้กับตำรวจเพื่อหลอกให้คุณโอนเงินเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
  • อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ: มิจฉาชีพจะอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหลอกลวงว่าคุณเป็นผู้ต้องสงสัยว่าพัวพันกับคดีค้ายาหรือฟอกเงิน จึงต้องโอนเงินทั้งหมดมาให้เราตรวจสอบ
  • อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร: มิจฉาชีพจะอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร และหลอกลวงให้คุณเชื่อว่าคุณได้รับสิทธิ์ขอคืนภาษี ให้รีบไปทำรายการขอรับคืนที่ตู้เอทีเอ็ม แต่เมื่อทำตามขั้นตอนกลับกลายเป็นการโอนเงินให้กับโจร
  • อ้างว่าเป็นเจ้าหนี้นอกระบบ: มิจฉาชีพอาศัยการหลอกลวงว่าเป็นเจ้าหนี้นอกระบบของบุคคลในครอบครัวหรือคนรอบตัว และข่มขู่ต่อไปว่าหากไม่อยากให้คนในครอบครัวหรือคนที่รู้จักโดนทำร้ายจะต้องโอนเงินให้เพื่อชำระหนี้นั้นแทน
  • อ้างว่าเป็นผู้โชคดีหรือได้รับรางวัล: มิจฉาชีพอาจหลอกลวงว่าคุณคือ ผู้โชคดีที่ได้รับเงินรางวัลจำนวนมาก แต่ก่อนที่จะรับรางวัลได้ต้องโอนจ่ายภาษีให้กับพวกเขาก่อน แต่สุดท้ายเมื่อโอนเงินไปแล้วกลับไม่ได้ทั้งเงินรางวัลและโดนเชิดเงินที่โอนไปหนีหายไปด้วย
  • อ้างว่ามีรูปหรือคลิปวิดีโอหลุด: มิจฉาชีพแอบอ้างว่ามีรูปหรือคลิปวิดีโอที่อาจทำให้คุณต้องอับอาย หรือคลิปการกระทำของคุณที่ผิดกฎหมาย ให้คุณคลิกลิงก์เข้าไป หากหลงเชื่อกดดูอาจโดนแฮ็กข้อมูลและเงินในบัญชี
  • อ้างว่าเป็นนักลงทุนเพื่อหลอกให้ลงทุน: มิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปร่วมลงทุน หลังจากนั้นหลอกต่อไปอีกว่าได้กำไรมหาศาลให้โอนค่าธรรมเนียมมาจะได้เบิกเงินไปใช้ได้
  • อ้างว่าโอนเงินผิดบัญชี: มิจฉาชีพโทรมาและอ้างว่า “เมื่อกี้โอนเงินไปผิดบัญชี รบกวนโอนคืนมาให้หน่อย” ซึ่งอาจเกิดจากเหยื่อถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวเอาไปขอสินเชื่อ เมื่อเงินเข้าบัญชีโจรจึงโทรมาหลอกให้เราโอนเงินให้ หรือเราอาจถูกหลอกให้เป็นเหยื่อการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายโดยใช้บัญชีของเราเป็นตัวกลาง ดังนั้นหากมีใครโอนเงินมาผิดบัญชีไม่ควรโอนกลับไปให้แต่ให้อีกฝ่ายการติดต่อธนาคารเพื่อดึงเงินกลับไปด้วยตนเอง
  • อ้างว่าจะถูกตัดไฟฟ้าและประปา: มิจฉาชีพอาจโทรมาแอบอ้างในลักษณะเป็นเจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้าหรือการประปา มาแอบอ้างเก็บค่าไฟ เก็บค่าน้ำ แจ้งตัดไฟฟ้า แจ้งตัดน้ำประปา เปลี่ยนมิเตอร์ และตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า และเหยื่อจะรีบโอนเงินให้โดยทันทีเพราะไม่อยากถูกตัดน้ำ ตัดไฟ หรือเสียค่าปรับ
  • อ้างว่าเป็นพนักงานจากเครือข่ายโทรศัพท์: มิจฉาชีพใช้เบอร์มือถือ 0XX-XXXXXXX โทรหาลูกค้าแจ้งว่า มีข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า อาทิ ชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชน ไปเปิดเบอร์และดำเนินการผิดกฎหมาย โดยมิจฉาชีพบางรายบอกชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชนของเหยื่อได้อย่างถูกต้อง จนอาจทำให้เหยื่อหลงเชื่อ จากนั้นมิจฉาชีพจะหลอกว่า ต้องโอนสายไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลของลูกค้า เป็นต้น ซึ่งถือเป็นจุดที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและสูญเสียทรัพย์สิน
    หากคุณเป็นลูกค้าของ AIS และพบความผิดปกติของเบอร์โทร หรือ SMS ข้อความ ที่ติดต่อเข้ามา สามารถแจ้งผ่านสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง โดย AIS จะตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
  • หลอกให้ทำงานออนไลน์: มิจฉาชีพจะโทรเข้ามาเพื่อนำเสนองานง่าย ๆ แต่รายได้ดีมาก ทำให้ดูน่าสนใจ แต่จะมีเงื่อนไขในการสมัคร คือ จะต้องโอนเงินเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการเข้าทำงาน หรือค่าอื่น ๆ แต่ปรากฏว่าเมื่อโอนเงินแล้วจะถูกบล็อกช่องทางการติดต่อและพบว่างานนั้นไม่มีอยู่จริง

ทำไมแก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณได้

ทำไมแก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณได้

เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนก็อาจสงสัยว่าแล้วแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ข้อมูล ทั้งชื่อ นามสกุล เบอร์โทร หรือหลายครั้งยังรวมถึงข้อมูลอื่น ๆ เช่น เลขที่บัญชี ที่อยู่ ของเรามาจากช่องทางไหนกัน เพราะข้อมูลเหล่านี้คือ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เราหลงเชื่อคำพูดของแก๊งมิจฉาชีพไปได้อย่างง่าย ๆ เลย ซึ่งอาจมาจากการให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น

  • การคลิกลิงก์: การคลิกลิงก์ที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจทำให้มิจฉาชีพแฝงมัลแวร์หรือโปรแกรมดักจับข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ของคุณ
  • การกรอกแบบฟอร์ม: ข้อมูลส่วนตัวที่คุณกรอกลงในแบบฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ในเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
  • การยินยอมสมัครใช้บริการ: บางครั้งคุณอาจเผลอให้ข้อมูลส่วนตัวกับมิจฉาชีพ โดยการสมัครใช้บริการหรือเข้าร่วมกิจกรรมบางอย่าง โดยไม่ทันอ่านรายละเอียดให้ละเอียด
  • ข้อมูลรั่วไหลจากบริษัท: ข้อมูลส่วนตัวของคุณอาจถูกขโมยจากบริษัทที่คุณใช้บริการ โดยฝีมือของแฮกเกอร์
  • การซื้อข้อมูลส่วนตัว: ข้อมูลส่วนตัวของคุณอาจถูกแฮกและนำไปซื้อขายในตลาดมืด

วิธีสังเกตว่าคนที่คุณกำลังคุยอยู่คือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การจับพิรุธว่าคนที่เรากำลังคุยด้วยทางโทรศัพท์นั้นเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพก็มีอยู่หลายทาง โดยอาจพิจารณาจาก

1. เนื้อหาในการสนทนา

เนื้อหาที่พูดจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเป็นหลัก และจะวกไปวนมาให้งงจนสุดท้ายเหยื่อหลงเชื่อและให้ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวไป เช่น หมายเลขบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด เลขบัตรเครดิต เลขสมุดบัญชี เป็นต้น โดยจะใช้จิตวิทยาในการพูดทั้งการโน้มน้าว การทำให้หวาดกลัว ตื่นตกใจ หรือก่อให้เกิดความโลภและยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวหรือโอนเงินไปให้

2. หมายเลขโทรศัพท์

หากเป็นหมายเลขโทรศัพท์จากต่างประเทศก็ให้สงสัยได้เลยว่าเป็นการโทรข้ามชาติเพื่อหลอกลวง แต่ในปัจจุบันมิจฉาชีพอาจจะใช้หมายเลขโทรศัพท์จริงอื่นแต่ใช้เทคโนโลยีแปลงสัญญาณโทรศัพท์เป็นหมายเลขของหน่วยงานที่แอบอ้าง เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นการติดต่อมาจากหน่วยงานจริง จึงอาจต้องใช้การพิจารณากับสิ่งที่ปลายสายพูดร่วมด้วยเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

3. การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ

พึงระลึกไว้เสมอว่าสถาบันการเงิน และภาคราชการไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทางโทรศัพท์ ไม่ว่ามิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน เจ้าหน้าที่สรรพากร เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่บริษัทขนส่ง หรือเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ก็ไม่สมเหตุสมผล และไม่มีเหตุจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะต้องโทรข่มขู่คุณทางโทรศัพท์ด้วย

4 วิธีรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

4 วิธีรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

• ก่อนรับสาย

  • • ให้ระวังการรับสายจากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก
  • • ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ก่อนรับสาย
  • • ตั้งสติกับเนื้อกับตัวและคำนึงไว้เสมอว่าสถาบันการเงิน และภาคราชการไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทางโทรศัพท์ จะได้ไม่โอนอ่อนไปตามสิ่งที่ปลายสายกำลังจะพูด

• ระหว่างรับสาย

  • • ห้ามให้ข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะหากมีการถามถึงข้อมูลส่วนตัวที่อาจนำไปสู่การทำธุรกรรมทางการเงินได้
  • • ตั้งคำถาม เพื่อจับพิรุธของคนร้ายที่อยู่ปลายสาย และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่เราคุยด้วยเป็นคนร้ายหรือเปล่า
  • • รีบวางสายหากรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เพราะปลายสายอาจใช้ช่วงเวลาในระหว่างการคุยโทรศัพท์เพื่อถ่วงเวลาเข้าควบคุมหน้าจอโทรศัพท์ของคุณจากทางไกล

• หลังรับสาย

  • • หลังจากวางสายจากผู้ที่คิดว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้รีบตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
  • • รีบแจ้งความทันทีหากพบความเปลี่ยนแปลงในบัญชีหรือการทำธุรกรรมของคุณ
  • • และรีบแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร หรือผู้ให้บริการทางการเงิน เพื่อยุติและตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกตินั้น
  • • หากยังไม่แน่ใจว่าปลายสายที่คุยด้วยก่อนหน้านี้เป็นคนร้ายหรือเจ้าหน้าที่ตัวจริง ให้สอบถามข้อมูลจากหน่วยงานหรือธนาคารโดยตรง โดยไม่ใช้ข้อมูลที่ได้มาจากคนร้ายแต่อาจใช้การค้นหาบนอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาเบอร์โทรและช่องทางติดต่อที่แท้จริงของหน่วยงาน

• ข้อควรระวัง

  • • หากมีการส่งลิงก์หรือไฟล์แนบมาให้ระหว่างการสนทนา อย่ากดลิงก์หรือเปิดข้อมูลไฟล์ที่แนบมานั้นเด็ดขาด
  • • ห้ามโอนเงินไปให้คนอื่นผ่านช่องทางออนไลน์

ต้องทำอย่างไร หากถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก

ในกรณีที่พลาดไปแล้วอย่าเพิ่งตกใจและลนลาน เพราะอาจทำให้คุณเผลอตกเป็นเหยื่อซ้ำ ๆ จากความตื่นตระหนก ดังนั้นหากโอนเงินไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว ให้รีบรวบรวมข้อมูล หลักฐาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องติดต่อสถาบันการเงินเพื่อระงับการโอนเงินดังกล่าวทันที และไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด รวมไปถึงการแจ้งเบาะแสกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือแจ้งเบาะแส ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โทร 1599) เพื่อเป็นประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ในการสืบหาตัวคนร้ายต่อไป

ผลกระทบจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ผลกระทบจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อเหยื่อจำนวนมากแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจในภาพรวมระดับประเทศอีกด้วย ดังนั้นกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ จึงถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจข้ามชาติที่เป็นภัยร้ายแรงอีกประการหนึ่งของประเทศ โดยในปี 2564 ที่ผ่านมาศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือตำรวจไซเบอร์ รายงานว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเสียหายโดยส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจและสังคมถึง 1,600 ล้านบาท

ข้อมูลสถิติการถูกหลอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ในปี 2567 ยังไม่มีข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับจำนวนผู้ถูกหลอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในปี 2566 ที่ผ่านมากลับพบสถิติที่น่าตกใจในหลายทางและมีแนวโน้มว่าปีนี้จะมีผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นอีก

  • • ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเผยว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แจ้งความผ่านระบบคดีออนไลน์ 191 จำนวนกว่า 40,000 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 5,000 ล้านบาท
  • • ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าในปี 2566 มีผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ จำนวนกว่า 40,000 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,600 ล้านบาท
  • • สมาคมผู้บริโภคไทยเปิดเผยว่าในปี 2566 สมาคมผู้บริโภคไทยได้รับร้องเรียนจากผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวนกว่า 2,000 รายการ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

บทบาทของสื่อมวลชนในการรณรงค์ป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการระบาดอย่างหนักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในหลายปีที่ผ่านมา สื่อมวลชนควรเป็นกำลังหลักที่จะช่วยนำเสนอข่าว รวมถึงเปิดโปงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยการเผยแพร่ความรู้อย่างสถิติหรือตัวอย่างคดีที่เคยเกิดขึ้น และที่สำคัญ คือ แนวทางในการป้องกันตัวเองของเหยื่อรวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาในกรณีที่โดนมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปแล้ว ซึ่งหากคุณเป็นหนึ่งในเหยื่อของมิจฉาชีพหรือมีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถรายงานมาได้ที่ช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้

  • • แจ้งเบาะแส แจ้งสายด่วน สอท. 1441
  • • แจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com
  • • แจ้งศูนย์ PCT โทร 081-866-3000
  • • แจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร 1599
  • • สายด่วน AIS 1185 รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ

AIS อุ่นใจ CYBER

AIS อุ่นใจ CYBER ขอร่วมปกป้องคนไทยจากภัยคุกคามของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันและช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้คนหลากหลายด้าน ทั้งในด้านการทำงาน การศึกษา การสาธารณสุข การกีฬาและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงินดิจิทัล แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกันกับภัยคุกคามออนไลน์ในรูปแบบ ต่าง ๆ อาทิ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล การล่อลวงผ่านช่องทางออนไลน์ และ การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์

AIS จึงมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องคนไทยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ พร้อมทั้งส่งเสริมสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์เพื่อสร้างความเหมาะสมและความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตและสังคมออนไลน์ ให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ เป็นต้น เราได้วางกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ภายใต้โครงการ “อุ่นใจ CYBER” ได้แก่

1. ส่งเสริมทักษะความฉลาดทางดิจิทัล (Wisdom)

AIS ร่วมมือ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ โดยหลักสูตรได้ผ่านการพิจารณารับรองหลักสูตรจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อเผยแพร่ความรู้เบื้องต้นและเสริมสร้างทักษะความฉลาดทางดิจิทัลบนออนไลน์แพลตฟอร์ม LearnDi for Thais ให้ประชาชนทุกเพศทุกวัย สามารถเรียนรู้ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านทางเว็บไซต์ https://learndiaunjaicyber.ais.co.th และ แอปพลิเคชัน AIS อุ่นใจ CYBER

โดยก่อนหน้าที่จะจัดทำสื่อการเรียนการสอนนี้ AIS และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ร่วมกันจัดทำดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย โดยจากผลการศึกษาพบว่าระดับสุขภาวะดิจิทัลของคนไทยอยู่ในปี 2566 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ "พื้นฐาน" แต่เมื่อพิจารณาแต่ละระดับ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 44.04 อยู่ใน "ระดับต้องพัฒนา" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ดิจิทัลให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับต้องพัฒนาเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการใช้ดิจิทัลได้อย่างไม่เหมาะสม จึงเกิดการต่อยอดออกมาเป็นแพลตฟอร์ม LearnDi for Thais ที่มีหลักสูตรการเรียนที่ครอบคลุมทั้งกับเด็กและเยาวชน บุคคลทั่วไป รวมถึงสื่อการเรียนรู้ฉบับเร่งรัดที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้น

2. การป้องกันภัยไซเบอร์ด้วยเครื่องมือดิจิทัล (Protective Tools)

AIS มีบริการ AIS Secure Net และ AIS Fibre Secure Net ที่ปกป้องลูกค้าจากภัยด้านไซเบอร์ผ่านโครงข่ายโทรคมนาคม (network-based security solution) ซึ่งช่วยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่อภัยด้านไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น พวกไวรัส มัลแวร์ ลิงก์ปลอม และรวมไปถึงเว็บไซต์ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เนื่องจากสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังร่วมเป็นพันธมิตรกับ Google เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมการใช้งานแอพพลิเคชัน Family Link ที่ให้ผู้ปกครองสามารถดูแลและฝึกการใช้อินเทอร์เน็ตของบุตรหลานอย่างเหมาะสม

3. สร้างความตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากการใช้อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี (Awareness)

AIS นำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อส่งเสริมการความรู้เท่าทันโลกออนไลน์และใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ ผ่านทางประชาสัมพันธ์ผ่าน social media บนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย อาทิ Facebook, YouTube, X, TikTok ฯลฯ โดย มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายจากทุกเครือข่าย ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

และการดำเนินงานทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่า คนไทยทุกคนจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ต่อยอดพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่ถูกต้องและเหมาะสม และ AIS จะได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปกป้องประชาชนคนไทยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์